080-142-0052
Line ปรึกษาหมอกัณฒิภัสส์
แผนที่ google map
🩹 การดูแลแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง และการทำแผลแบบสุญญากาศ (Vacuum Dressing/NPWT)
คำถาม-คำตอบ (Q&A) เกี่ยวกับแนวทางการดูแลแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงเทคโนโลยีการทำแผลแบบสุญญากาศ (Negative Pressure Wound Therapy – NPWT) ตามมาตรฐานของศูนย์ดูแลผู้สูงอายุพัทยา 2 หมอกัณฒิภัสส์
🩺 ส่วนที่ 1: การป้องกันและการประเมินแผลกดทับ
Q1: แผลกดทับ (Pressure Ulcer/Bed Sore) เกิดขึ้นได้อย่างไร? และเราจะป้องกันได้อย่างไร?
A: แผลกดทับเกิดจากการที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อถูกกดทับเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้นได้ไม่เพียงพอ จนเนื้อเยื่อตาย มักเกิดบริเวณปุ่มกระดูก เช่น ก้นกบ, ส้นเท้า, สะโพก, และหลัง
แนวทางการป้องกันที่ศูนย์ฯ เน้นย้ำ:
-
การพลิกตะแคงตัว: พลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดแรงกดทับ
-
การใช้อุปกรณ์ลดแรงกด: ใช้ที่นอนลม (Air Mattress) หรือหมอนรูปทรงเฉพาะ (Doughnut cushion) เพื่อกระจายน้ำหนัก
-
การดูแลผิวหนัง: รักษาผิวหนังให้แห้งและสะอาด โดยเฉพาะเมื่อมีภาวะกลั้นปัสสาวะ/อุจจาระไม่ได้
-
โภชนาการที่เพียงพอ: ให้ผู้ป่วยได้รับโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่
Q2: แผลกดทับมีกี่ระยะ? และการประเมินที่ศูนย์ฯ ทำอย่างไร?
A: แผลกดทับแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลักๆ (ตามระบบที่ใช้ทั่วไป):
-
ระยะที่ 1: ผิวหนังยังไม่เปิด แต่มีรอยแดงที่ไม่จางลงเมื่อใช้นิ้วกด
-
ระยะที่ 2: ผิวหนังชั้นนอก (Epidermis) หรือชั้นหนังแท้บางส่วน (Dermis) ถูกทำลาย มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำหรือรอยถลอกตื้นๆ
-
ระยะที่ 3: เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังถูกทำลายลึกถึงชั้นไขมัน อาจเห็นไขมัน แต่ยังไม่ถึงกระดูก กล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็น
-
ระยะที่ 4: เนื้อเยื่อถูกทำลายอย่างรุนแรงถึงชั้นกล้ามเนื้อ กระดูก หรือโครงสร้างพยุงอื่นๆ
การประเมินที่ศูนย์ฯ: พยาบาลจะใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยง เช่น Braden Scale เป็นประจำ และประเมินแผลตามระยะ ความลึก ขนาด และลักษณะของเนื้อเยื่อ (เนื้อตาย, เนื้อเยื่อที่สร้างใหม่, ปริมาณหนอง/สารคัดหลั่ง) เพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสม
🧼 ส่วนที่ 2: การทำแผลแบบสุญญากาศ (Vacuum Dressing / NPWT)
Q3: การทำแผลแบบสุญญากาศ (Vacuum Dressing) หรือ NPWT คืออะไร? และใช้กับแผลกดทับระยะใด?
A: การทำแผลแบบสุญญากาศ หรือ Negative Pressure Wound Therapy (NPWT) เป็นเทคนิคการทำแผลที่ใช้เครื่องมือสร้าง แรงดันลบ (Negative Pressure) หรือแรงดูดสุญญากาศ บนบริเวณแผล
-
วิธีการ: แพทย์หรือพยาบาลจะวางฟองน้ำหรือตาข่ายพิเศษลงบนแผล ปิดทับด้วยแผ่นฟิล์มปิดแผลที่ปิดสนิท (Occlusive dressing) แล้วต่อเข้ากับเครื่องดูดสุญญากาศ
-
การใช้กับแผลกดทับ: มักใช้กับแผลกดทับ ระยะที่ 3 และ 4 ที่มีขนาดใหญ่ ลึก มีสารคัดหลั่งมาก หรือมีเนื้อเยื่อตายที่ถูกกำจัดออกไปแล้ว เพื่อกระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น
Q4: กลไกการทำงานและประโยชน์หลักของการทำแผลแบบสุญญากาศคืออะไร?
A: NPWT ช่วยในการรักษาแผลกดทับผ่านกลไกหลายอย่าง:
-
ขจัดสารคัดหลั่งและหนอง: แรงดูดจะช่วยนำของเหลวส่วนเกินและสารคัดหลั่งออกจากแผลอย่างต่อเนื่อง ทำให้แผลสะอาดและลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
-
ลดอาการบวม: ลดอาการบวมรอบแผล ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
-
กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่: แรงดูดระดับอ่อนๆ จะช่วยดึงขอบแผลเข้าหากัน และกระตุ้นการไหลเวียนเลือดระดับจุลภาค (Microcirculation) ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อเม็ดสีแดง (Granulation tissue) ได้เร็วขึ้น
Q5: การดูแลผู้ป่วยที่ทำแผลแบบสุญญากาศที่ศูนย์ฯ มีข้อควรระวังพิเศษอะไรบ้าง?
A: การดูแลแผล NPWT ต้องละเอียดอ่อนกว่าการทำแผลปกติ:
-
การสังเกตการรั่วซึม: ต้องตรวจเช็คให้แน่ใจว่าแผ่นฟิล์มปิดแผลปิดสนิท ไม่มีการรั่วของอากาศ เพื่อให้แรงดันลบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
การจัดการสารคัดหลั่ง: พยาบาลจะบันทึกปริมาณและลักษณะของสารคัดหลั่งในถังเก็บ (Canister) อย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนถังตามความจำเป็น
-
การเฝ้าระวังความเจ็บปวด: สอบถามและประเมินความเจ็บปวดของผู้ป่วย เนื่องจากแรงดูดอาจทำให้รู้สึกตึงหรือปวดได้
-
การเปลี่ยนชุดแผล: ชุดแผล NPWT มักถูกเปลี่ยนทุก 48-72 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับคำสั่งแพทย์และสภาพแผล) โดยต้องใช้เทคนิคปลอดเชื้อขั้นสูง (Strict Aseptic Technique)
🌟 ส่วนที่ 3: สรุปและคำแนะนำจากหมอกัณฒิภัสส์
การดูแลแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเข้าใจ ความสม่ำเสมอ และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การป้องกันคือการรักษาที่ดีที่สุด แต่หากเกิดแผลแล้ว การทำแผลแบบสุญญากาศ (NPWT) เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงในการช่วยเร่งการหายของแผลระยะรุนแรง
“ทีมแพทย์และพยาบาลของศูนย์ดูแลผู้สูงอายุพัทยา 2 หมอกัณฒิภัสส์ มีความพร้อมและประสบการณ์ในการประเมินและดูแลแผลกดทับในทุกระยะ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี NPWT อย่างถูกหลักการ เพื่อให้ผู้ป่วยของเราได้รับการดูแลบาดแผลที่ได้มาตรฐานสูงสุดและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
